คำว่า โปรไบโอติก (Probiotic) มาจากภาษากรีกที่มีความหมายว่า เพื่อชีวิต แต่คำจำกัดความของโปรไบโอติกมีวิวัฒนาการไปตามเวลา ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นหาถึงกลไกการออกฤทธิ์ และประโยชน์ต่อสุขภาพ ในปัจจุบัน โปรไบโอติก เป็นอาหารเสริมที่เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกาย โดยการปรับปรุงสมดุลของจุลินทรีย์ และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งองค์การอนามัยโลกแห่งสหประชาชาติ ได้นิยามใหม่ว่าเป็น
"จุลินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อได้รับในปริมาณที่เพียงพอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพแก่ร่างกาย"
การเสริมโปรไบโอติก (Probiotics) คือการเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตชนิดดีเข้าไปในร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคำว่า พรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ถูกนำมาใช้โดย Gibson และ Roberfroid ในปี 1995 เพื่ออธิบายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายโดยการกระตุ้นการเจริญเติบโตหรือกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในลำไส้ สารพรีไบโอติกจะไม่ถูกไฮโดรไลซ์หรือถูกดูดซึมในทางเดินอาหาร แต่จะเป็นสารตั้งต้นสำหรับโปรไบโอติก (Probiotic) และสารที่ใช้บ่อยที่สุดในปัจจุบันคือ ฟรุกโตลิโกแซ็กคาไรด์
ด้วยเหตุผลนี้ ในทางปฏิบัติ จึงมีการผสมผสานของโปรไบโอติก (Probiotics) และพรีไบโอติก (Prebiotic) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพ
ในปัจจุบัน โปรไบโอติก (Probiotic) มีหลักฐานมากมายที่แสดงว่าสามารถส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ จึงเห็นได้ว่าตลาดอาหารเพื่อสุขภาพกำลังขยายตัวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ Probiotic รวมถึงในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และในประเทศส่วนใหญ่ Probiotic มีส่วนแบ่งผลิตภัณฑ์มากที่สุด
ประโยชน์ต่อสุขภาพของการรับประทานโปรไบโอติก (Probiotics) ได้แก่ การปรับปรุงสุขภาพลำไส้ การแก้ไขอาการของการแพ้แลคโตสและการลดความเสี่ยงของโรคอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักฐานที่มีแนวโน้มดี บทบาทของโปรไบโอติกในสุขภาพของมนุษย์ตลอดจนความปลอดภัยในการใช้งาน อาจควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม เนื่องจากความรู้ในปัจจุบันเกี่ยวกับการทำงานของโปรไบโอติกในลำไส้ยังไม่สมบูรณ์
หน้าที่ของโปรไบโอติก (Probiotic)
ทำไมเราถึงต้องการโปรไบโอติก ?
Probiotics มีกลไกการออกฤทธิ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวดีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และต่อสู้ทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย สร้างกรดไขมันสายสั้น (Short chain fatty acid) ที่เป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ในการเติบโตของเนื้อเยื่อลำไส้ และเชื้อจุลินทรีย์ตัวดีในร่างกาย ไปจนถึงการปรับและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยการกระตุ้นเซลล์ฟาโกไซโตซิส (Phagocytosis) และการหลั่ง IgA ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
มีหลักฐานสนับสนุนประโยชน์ที่เกิดจากรับประทานโปรไบโอติก ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงสุขภาพของลำไส้ การเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน การลดคอเลสเตอรอลในเลือด และการป้องกันมะเร็ง โดยคุณสมบัติด้านสุขภาพเหล่านี้ เป็นประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงกับสายพันธุ์นั้นๆ ไม่ได้หมายความว่าทุกสายพันธ์ให้ผลเช่นเดียวกัน
ในปัจจุบันข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากเพียงพอได้แก่ การใช้ Probiotics ในการรักษาโรคท้องเสียเฉียบพลัน การป้องกันโรคท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะ และการปรับปรุงการย่อยแลคโตส (Lactose) เป็นต้น
โรคท้องเสียจากการติดเชื้อ (Infectious diarrhea)
การรักษาและป้องกันโรคท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางที่สุดของจุลินทรีย์โปรไบโอติก โรตาไวรัส (Rota virus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคท้องเสียเฉียบพลันในเด็ก และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของทารก
และจุลินทรีย์ประจำถิ่นที่มีอยู่แล้วในลำไส้ของร่างกายเรา ดูเหมือนว่าจะมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อการติดเชื้อ อาหารเสริม Probiotic มีศึกษาทางคลินิกที่แสดงให้เห็นว่าโปรไบโอติก เช่น S. boulardii, L. rhamnosus GG, L. reuteri, สามารถย่นระยะเวลาของอาการท้องเสียเฉียบพลันจากไวรัสโรตาไวรัสได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน และการผลิตสารที่ยับยั้งอนุภาคไวรัสโดยตรง
โรคท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะ (Antibiotic-Associated Diarrhea)
อาการท้องเสียเล็กน้อยหรือรุนแรงเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีแนวโน้มที่จะกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ทุกชนิดที่มีอยู่แล้วในลำไส้ของเรา จุลินทรีย์จะถูกยับยั้ง และกระตุ้นให้เกิดการขยายพันธุ์ของเชื้อฉวยโอกาส ที่เป็นเชื้อก่อโรคในร่างกาย อาการอาจมีตั้งแต่อาการท้องเสียโดยไม่มีความผิดปกติของเยื่อเมือก ไปจนถึงอาการลำไส้ใหญ่บวม ซึ่งเป็นรูปแบบที่รุนแรง มักเกิดจากเชื้อ Clostridium difficile เป็นสายพันธุ์ที่เป็นพิษต่อเซลล์ ซึ่งอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้นหลังการใช้ยาปฏิชีวนะ
สำหรับการรักษาเน้นการให้ยาปฏิชีวนะที่เฉพาะเจาะจงต่อการฆ่าเชื้อชนิดนี้ และรักษาตามอาการ มีการให้ Probiotic เช่น L. rhamnosus และ S. boulardii ซึ่งการศึกษาหลายชิ้นแนะนำว่าการใช้โปรไบโอติกสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของอาการท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะได้
แพ้แลคโตส (Lactose Intolerance)
การแพ้แลคโตส (Lactose) เป็นการขาดสารเบต้า-กาแลคโตซิเดส (Beta-galactosidase) ที่กำหนดโดยพันธุกรรม ส่งผลให้ไม่สามารถไฮโดรไลส์ หรือย่อย แลคโตส (Lactose) เป็นโมโนแซ็กคาไรด์กลูโคส (Monosaccharides glucose) และกาแลคโตส (Galactose) ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวได้ เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่ แลคโตสที่ไม่ได้ย่อย จะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ของแบคทีเรียที่นำไปสู่อาการท้องเสียจากการออสโมติก (Osmotic diarrhea )
สาเหตุของการขาด beta-galactosidase ได้แก่ การฉายรังสีอุ้งเชิงกรานซึ่งทำลายเยื่อเมือก การติดเชื้อโรตาไวรัสที่ทำให้เซลล์ที่ผลิตแลคเตสติดเชื้อ และอาการลำไส้สั้น ผู้ที่แพ้แลคโตสจะมีอาการท้องเสีย ไม่สบายท้อง และท้องอืดหลังบริโภคนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม
โปรไบโอติกในโยเกิร์ต เช่น S. thermophilus และ L. delbrueckii ssp. Bulgaricus มีประสิทธิภาพในการเพิ่มเบต้า-กาแลคโตซิเดสได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า Probiotic ช่วยปรับปรุงการเผาผลาญแลคโตสได้ ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาด้วยการเสริม Probiotics นั่นเอง
โปรไบโอติก (Probiotic) กับโรคทางระบบทางเดินอาหาร
โปรไบโอติกสามารถช่วยบรรเทา และรักษาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) ซึ่งประกอบไปด้วยอาการท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้อง จุดเสียด ท้องผูก หรือท้องเสีย โดยโปรไบโอติกสามารถช่วยลดแก๊ส ท้องอืด ท้องผูก ท้องร่วง และอาการอื่นๆได้
การวิจัยระบุว่าอาหารเสริม Probiotics หลายสายพันธุ์ดูเหมือนจะทำให้ IBS ดีขึ้นได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานเป็นเวลานานกว่า 8 สัปดาห์
การศึกษาบางชิ้นยังระบุถึงประโยชน์ของการเสริม Probiotic เพื่อรักษาโรคลำไส้อักเสบ เช่น โรคโครห์นและอาการลำไส้ใหญ่บวมเป็นแผล ได้
โปรไบโอติกอาจช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของแผลในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระเพาะอาหาร
โปรไบโอติกและภูมิแพ้ (Probiotics and Allergy)
มีการศึกษาพบว่าการสัมผัสกับแบคทีเรียชนิดดี ตั้งแต่ในวัยเด็ก อาจมีบทบาทในการป้องกันการแพ้ และในบริบทนี้ การให้โปรไบโอเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของทารก ในขณะเดียวกันก็ช่วยปรับปรุงการทำงานของเยื่อเมือก ซึ่งมีส่วนช่วยในการตอบสนองต่อการแพ้ในระดับปานกลางได้
มีการศึกษาพบว่า L. rhamnosus GG มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของกลาก นอกจากนี้ ยังพบว่า L. rhamnosus GG สามารถป้องกันการเกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในทารกที่มีความเสี่ยงสูง
ปริมาณของโปรไบโอติกที่ร่างกายต้องการต่อวัน
โปรไบโอติก (Probiotic) เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหาร ลดภาวะซึมเศร้า และส่งเสริมสุขภาพของหัวใจ หลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่าอาจให้ผิวดูดีขึ้นได้ นี่คืออาหารที่มี Probiotic ที่ดีต่อสุขภาพ
โยเกิร์ต (Yogurt)
โยเกิร์ตเป็นหนึ่งในแหล่งโปรไบโอติกที่ดีที่สุด ทำจากนมที่หมักโดยแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียกรดแลคติก (Lactic acid bacteria) และไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifido bacteria)
การรับประทานโยเกิร์ตมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย รวมทั้งสุขภาพกระดูก ในเด็ก โยเกิร์ตอาจช่วยลดอาการท้องเสียที่เกิดจากยาปฏิชีวนะได้ และยังช่วยบรรเทาอาการของอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) นอกจากนี้ โยเกิร์ตอาจเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส เนื่องจากแบคทีเรียสามารถเปลี่ยนแลคโตสบางส่วนให้เป็นกรดแลคติกได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้โยเกิร์ตมีรสเปรี้ยว
คีเฟอร์ (Kefir)
Kefir เป็นเครื่องดื่มนมโปรไบโอติกหมัก ทำโดยการเพิ่มเมล็ด kefir ลงในนมวัวหรือนมแพะ Kefir ช่วยบำรุงสุขภาพกระดูก ช่วยแก้ปัญหาทางเดินอาหาร และป้องกันการติดเชื้อ
แม้ว่าโยเกิร์ตอาจเป็นอาหารที่มีโปรไบโอติก (Probiotics) ที่รู้จักกันดีที่สุดในอาหารตะวันตก แต่ที่จริงแล้ว kefir เป็นแหล่งที่ดีกว่า Kefir ประกอบด้วยแบคทีเรียและยีสต์หลายสายพันธุ์ ทำให้เป็น Probiotics ที่มีความหลากหลายและมีศักยภาพ
กะหล่ำปลีดอง
กะหล่ำปลีดองเป็นกะหล่ำปลีหั่นฝอยละเอียดที่หมักด้วยแบคทีเรียกรดแลคติก เป็นอาหารดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งและเป็นที่นิยมในหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป มีรสเปรี้ยว เค็ม และสามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือนในภาชนะที่ปิดมิดชิด
นอกจากคุณสมบัติของโปรไบโอติก (Probiotics) แล้ว กะหล่ำปลีดองยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ รวมทั้งวิตามินซี, วิตามินบี และ วิตามินเค นอกจากนี้ยังมีโซเดียมสูงและมีธาตุเหล็กและแมงกานีส กะหล่ำปลีดองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ lutein และ zeaxanthin ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตาอีกด้วย
เทมเป้ (Tempeh)
เทมเป้เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหมัก เป็นขนมพายเนื้อแน่นที่มีรสชาติเป็นถั่ว เทมเป้มีพื้นเพมาจากอินโดนีเซีย แต่ได้รับความนิยมทั่วโลกในฐานะตัวแทนเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง
โดยทั่วไปแล้ว ถั่วเหลืองจะมีกรดไฟติกสูง ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่บั่นทอนการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น เหล็กและสังกะสี อย่างไรก็ตาม การหมักจะทำให้ปริมาณกรดไฟติกลดลง ซึ่งอาจเพิ่มปริมาณแร่ธาตุที่ร่างกายสามารถดูดซึมจากเทมเป้ได้ และ
ยังทำให้เกิดวิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสารอาหารที่ถั่วเหลืองไม่มี ทำให้เทมเป้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ทานมังสวิรัติและทุกคนที่ต้องการเพิ่ม Probiotic ที่มีคุณค่าทางโภชนาการในอาหาร
กิมจิ (Kimchi)
กิมจิเป็นเครื่องเคียงเกาหลีหมักรสเผ็ด ส่วนผสมหลักคือ กะหล่ำปลี กิมจิปรุงแต่งด้วยเครื่องปรุงต่างๆ เช่น พริกป่น กระเทียม ขิง ต้นหอม และเกลือ
กิมจิประกอบด้วยแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส กิมจิ เช่นเดียวกับแบคทีเรียกรดแลคติกอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทางเดินอาหาร
มิโซะ (Miso)
มิโซะเป็นเครื่องปรุงรสญี่ปุ่น โดยปกติแล้วจะทำโดยการหมักถั่วเหลืองกับเกลือและเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่าโคจิ แต่สามารถทำได้โดยการผสมถั่วเหลืองกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าว และข้าวไรย์
มิโซะเป็นแหล่งโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดี นอกจากนี้ยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบจากพืชหลายชนิด เช่น วิตามินเค แมงกานีส และทองแดง
งานวิจัยชิ้นหนึ่งรายงานว่าการบริโภคซุปมิโซะบ่อยครั้งมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของมะเร็งเต้านมในสตรีวัยกลางคนชาวญี่ปุ่น
คอมบูชา (Kombucha)
Kombucha เป็นเครื่องดื่มชาดำหรือชาเขียวหมัก ชายอดนิยมนี้หมักด้วยแบคทีเรียและยีสต์ที่ มีการบริโภคในหลายส่วนของโลก โดยเฉพาะในเอเชีย เนื่องจากคอมบูชาหมักด้วยแบคทีเรียและยีสต์ จึงอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของโปรไบโอติก
ผักดอง
ผักดอง หรือแตงกวาที่ดองในสารละลายเกลือและน้ำ ปล่อยให้หมักเป็นระยะเวลาหนึ่งโดยใช้แบคทีเรียกรดแลคติคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ กระบวนการนี้ทำให้มีรสเปรี้ยว แตงกวาดองจึงเป็นแหล่งที่ดีของแบคทีเรียโปรไบโอติกที่ดีต่อสุขภาพซึ่งอาจช่วยปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหาร มีแคลอรีต่ำและเป็นแหล่งวิตามินเค ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการแข็งตัวของเลือด
บัตเตอร์มิลค์ (Buttermilk)
คำว่าบัตเตอร์มิลค์ หมายถึง เครื่องดื่มนมหมักหลายชนิด อย่างไรก็ตาม บัตเตอร์มิลค์มีสองประเภทหลักคือ แบบดั้งเดิมและแบบเพาะเลี้ยง
บัตเตอร์มิลค์แบบดั้งเดิมเป็นเพียงของเหลวที่เหลือจากการทำเนย โดยจะมีโปรไบโอติก ประกอบอยู่ บัตเตอร์มิลค์แบบดั้งเดิมนิยมรับประทานเป็นหลักในอินเดีย เนปาล และปากีสถาน
ส่วน บัตเตอร์มิลค์ที่เพาะเลี้ยง ซึ่งพบได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกา โดยทั่วไปไม่มี Probiotic
นัตโตะ (Natto)
นัตโตะเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหมักอีกชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยแบคทีเรียสายพันธุ์ Bacillus subtilis เป็นวัตถุดิบในครัวญี่ปุ่น โดยทั่วไปจะผสมกับข้าวและเสิร์ฟพร้อมอาหารเช้า มีกลิ่นเฉพาะตัว เนื้อสัมผัสลื่น และรสชาติเข้มข้น
Natto อุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินเค 2 มีการศึกษาในผู้ชายชาวญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่าพบว่าการบริโภคนัตโตะเป็นประจำนั้นสัมพันธ์กับความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากปริมาณวิตามิน K2 สูง
เสริมโปรไบโอติก (Probiotic) เลือกอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด
แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมายในการเสริมโปรไบโอติก (Probiotic) แต่อย่างไรก็ตามในแต่ละบุคคลมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป และ Probiotic ก็ยังประโยชน์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่มีคำแนะนำใดที่เหมาะกับทุกคน
ก่อนที่จะเริ่มใช้โปรไบโอติก คุณจะต้องค้นหาสายพันธุ์ที่ถูกต้องสำหรับความต้องการของคุณ แบคทีเรียที่ใช้กันทั่วไปในโปรไบโอติกคือแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) แต่มีแลคโตบาซิลลัส ก็มีมากกว่า 120 ชนิด หลายชนิดใช้เป็นโปรไบโอติก และแลคโตบาซิลลัสก็ไม่ใช่แบคทีเรียชนิดเดียวที่ใช้ในโปรไบโอติก ยังมีแบคทีเรียชนิดอื่นที่มีสายพันธุ์ต่างกัน ทำให้มีทางเลือกในการเสริม Probiotics มากมาย โดยแนะนำให้ดูจากประโยชน์ต่อสุขภาพในแต่ละสายพันธุ์เป็นหลัก
ข้อจำกัดสำหรับการเสริมโปรไบโอติก (Probiotics)
โปรไบโอติก (Probiotics) ส่วนใหญ่มีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ มักเป็นปัญหาทางเดินอาหารที่ไม่รุนแรง เช่น ก๊าซ ลม ในช่องท้อง
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับยากดภูมิอยู่ การรับประทาน Probiotic เสริม อาจเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ
โปรไบโอติก (Probiotics) กับคำถามน่ารู้
จุลินทรีย์ในลำไส้มีหน้าที่อะไร มีเกี่ยวข้องกับโปรไบโอติกอย่างไร
โดยปกติแล้วในลำไส้ของเรา จะประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ประจำถิ่น อยู่กันในลักษณะชุมชนที่ซับซ้อนของจุลินทรีย์ในลำไส้เรียกว่า Gut flora, Gut microbiota, Gut microbiome ส่วนใหญ่พบได้ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของระบบทางเดินอาหาร
โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ประกอบด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา อาร์เคีย และหนอนพยาธิ โดยมีแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ เป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนของแบคทีเรียมากถึง 300–500 สายพันธุ์
จุลินทรีย์ในลำไส้ประกอบด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา อาร์เคีย และหนอนพยาธิ โดยมีแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ และเป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อน
เชื้อประจำถิ่นในลำไส้มีหน้าที่ด้านสุขภาพที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ผลิตวิตามิน รวมทั้งวิตามินเคและวิตามินบีบางชนิด นอกจากนี้ยังสร้างกรดไขมันสายสั้น (Short chain fatty acid) เช่น บิวทีเรต โพรพิโอเนต และอะซิเตท เป็นอาหารให้กับเซลล์ผนังลำไส้ และทำหน้าที่เผาผลาญหลายอย่าง
โดยจุลินทรีย์เหล่านี้ยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและเสริมสร้างผนังลำไส้ สิ่งนี้สามารถช่วยป้องกันสารที่ไม่พึงประสงค์ หรือเชื้อก่อโรค ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายและกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
การเสริม Probiotic เป็นการเติมเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีเข้าไปในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยปรับสมดุลของเชื้อประจำถิ่นให้อยู่อย่างสมดุล เพื่อให้แน่ใจว่าระบบต่างๆของร่างกาย สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม
โควิด-19 และโปรไบโอติก (Probiotics)
มีงานวิจัยเสนอว่าการปรับปรุงไมโครไบโอมในลำไส้ ด้วยการเสริมโปรไบโอติก (Probiotics) อาจเป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้และรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ SARS-CoV-2 หรือ COVID-19 ได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า COVID-19 ทำลายการป้องกันภูมิคุ้มกันของร่างกายผ่าน "พายุไซโตไคน์" ของไซโตไคน์ที่มีการอักเสบมากเกินไป ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุหลักของอาการหนักและเสียชีวิต อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโควิด 19 ได้ที่นี่ ทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ ใน 19 คำถาม โควิด 19 คืออะไร และเราจะป้องกันมันได้อย่างไร?
จากข้อมูลว่าเชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่นควบคุมและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับการอักเสบได้ ดังนั้นการเสริม Probiotics อาจช่วยให้ฟื้นตัวจาก coronavirus ได้เร็วขึ้นโดยการยับยั้งหรือจำกัด "พายุไซโตไคน์" นี้
นอกจากนี้ ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ยังรายงานอาการทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร โปรไบโอติก หลายตัวมีงานวิจัยรอบรับว่าสามารถรักษาอาหารท้องเสียได้
แต่อย่างไรก็ตาม สมมติฐานทั้งหมดนี้ยังมีข้อมูลที่จำกัด จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรไบโอติก (Probiotics)
ประโยชน์ของการใช้โปรไบโอติก คืออะไร มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ชี้ให้เห็นว่าการรับประทาน Probiotic คือสิ่งที่สามารถรักษาและป้องกันโรคบางอย่างได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินอาหารแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติกสำหรับรักษาโรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการลำไส้แปรปรวน การศึกษาทางคลินิกแนะนำว่าการรักษาด้วยโปรไบโอติกสามารถช่วยรักษาความเจ็บป่วยในทางเดินอาหารหลายอย่าง Probiotic คือเชื้อชนิดดีที่ช่วยชะลอการเกิดอาการแพ้ในเด็ก Probiotic คือสามารถรักษาและป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอดและทางเดินปัสสาวะในผู้หญิง
แต่โปรไบโอติกไม่ได้เหมือนกัน หรือให้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกันทั้งหมด Probiotics คือแบคทีเรีย ดังนั้นในแต่ละสายพันธุ์จึงมีผลต่างกัน ลองมาดูประโยชน์ของการใช้โปรไบโอติกกัน