น้ำมันตับปลา


          น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) คือ น้ำมันที่มีสีเหลืองอ่อน ที่ได้จากตับของปลาคอดแอตแลนติก กาดุส มอร์ฮัว (Atlantic cod, Gadus morhua) และสายพันธุ์อื่นๆ ในวงศ์กาดิดี (Family Gadidae)

          น้ำมันนี้เป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด ได้แก่ วิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินดี (Vitamin D)

          วิตามินเอมีบทบาทมากมายในร่างกาย รวมถึงการรักษาสุขภาพตา การทำงานของสมอง และผิวหนัง

          วิตามินดีซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษากระดูกให้แข็งแรงโดยควบคุมการดูดซึมแคลเซียม

          มีการใช้น้ำมันชนิดนี้กันอย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 18, ศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อรักษาและป้องกันโรคกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูกที่บกพร่อง หรือผิดปกติไป ซึ่งเกิดจากการขาดวิตามินดี

          การเสริมวิตามินดีโดยการรับประทานนม ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 จึงช่วยทำให้สามารถขจัดโรคกระดูกอ่อน อันเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญออกไปได้ และด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงหยุดแนะนำให้ใช้น้ำมันตับปลาไป

          แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าน้ำมันของตับปลายังถูกขายอยู่ในร้านอาหารเพื่อสุขภาพในฐานะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม วิตามิน และเป็นยาสำหรับรักษาอาการปวดข้อที่เกิดจากโรคข้ออักเสบ และเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

          เมื่อพิจารณาสารอาหารภายในน้ำมันชนิดนี้ พบว่ามีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งเป็นสารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เกิดการออกซิเดชั่นของน้ำมัน ทำให้เกิดกลิ่นหืน และการทำลายวิตามินเอ เมื่อสัมผัสกับอากาศ ทำให้การเก็บรักษาน้ำมันชนิดนี้ทำได้ค่อนข้างยาก

หน้าที่ของน้ำมันตับปลา

ทำไมเราถึงต้องการน้ำมันตับปลา ?

          น้ำมันตับปลา เป็นแหล่งสารอาหารที่ดีเยี่ยม และมีคุณสมบัติในการรักษาที่สำคัญ เช่น ช่วยบรรเทาอาการตึงของข้อต่อที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ มีผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด และช่วยซ่อมแซมฟัน เล็บ ผม และผิวหนังที่เสียหาย

เป็นแหล่งไขมันที่ดี และประกอบไปด้วยวิตามิน

          เนื่องจากทุกๆเซลล์ในร่างกายต้องการไขมัน ไขมัน เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในน้ำมันตับปลาจะส่งเสริมสุขภาพผิว เพิ่มวิตามินและการดูดซึมแร่ธาตุ และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

          การรับประทานไขมันที่ดีต่อสุขภาพ จะช่วยชะลอการสลายตัวของคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาล ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สมองทำงานได้อย่างถูกต้อง

โรคข้ออักเสบ

          น้ำมันนี้เป็นอาหารเสริมที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ การใช้น้ำมันจากทะเล เช่น น้ำมันตับปลา มีส่วนช่วยในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

          โดยน้ำมันชนิดนี้ช่วยลดการอักเสบ ลดอาการเจ็บปวด และช่วยให้ความฝืดลดลงได้

โรคข้ออักเสบ

น้ำมันตับปลา ช่วยลดอาการปวดจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้

ช่วยลดการอักเสบ

          การอักเสบเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและรักษาอาการบาดเจ็บ

          แต่มีในบางกรณี การอักเสบในระดับต่ำๆ สามารถดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานาน สิ่งนี้เรียกว่าการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นอันตรายและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงและโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ

          กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันของตับปลา ช่วยลดการอักเสบเรื้อรังโดยการกดการสร้าง และการทำงานของสารโปรตีนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น TNF-α, IL-1 และ IL-6

          นอกจากนี้ในน้ำมันชนิดนี้ยังมีวิตามินเอและ วิตามินดี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดการอักเสบได้

สุขภาพกระดูก

          การรักษากระดูกให้แข็งแรงตามวัยเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากคนเราจะเริ่มสูญเสียมวลกระดูกหลังจากอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจทำให้กระดูกหักได้ในภายหลัง โดยเฉพาะในหญิงหลังหมดประจำเดือน

          น้ำมันของตับปลา เป็นแหล่งวิตามินดี จึงช่วยลดการสูญเสียกระดูกที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ โดยช่วยให้ร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับกระดูกที่จากลำไส้ได้ดียิ่งขึ้น

          มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงควบคู่ไปด้วย การเสริมวิตามินดี เช่น น้ำมันตับปลา สามารถลดการสูญเสียมวลกระดูกในผู้ใหญ่ และเสริมสร้างกระดูกที่บอบบางในเด็กได้

ช่วยเรื่องสุขภาพตา

          การสูญเสียการมองเห็นเป็นปัญหาสุขภาพใหญ่ มีหลายสาเหตุที่ทำให้คนสูญเสียการมองเห็น แต่สาเหตุหลักสองประการคือโรคต้อหินและการเสื่อมสภาพของดวงตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ (AMD) โดยโรคทั้ง 2 นี้อาจเป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรัง

          อย่างไรก็ตาม กรดไขมันโอเมก้า 3 และวิตามินเอในน้ำมันตับปลาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถป้องกันโรคตาที่เกิดจากการอักเสบได้

          พบว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคต้อหิน เช่น ความดันตาและความเสียหายของเส้นประสาท

          ผู้ที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 มาก มีความเสี่ยงของการเกิด AMD ลดลงถึง 17% ในระยะแรกและ 41% ในระยะสุดท้าย

          นอกจากนี้ อาหารที่มีวิตามินเอสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อหินและ AMD ได้ เมื่อเทียบกับอาหารที่มีวิตามินเอต่ำ แม้ว่าวิตามินเอจะดีต่อสุขภาพดวงตา แต่ก็ไม่แนะนำให้รับประทานในปริมาณมาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเป็นพิษของวิตามินเอได้

ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

          มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานปลาเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่ามาก สารที่ชื่อว่าโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์มากมายต่อหัวใจ ได้แก่

          การลดไตรกลีเซอไรด์ กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลา ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ 15–30%

          ลดความดันโลหิต การศึกษาจำนวนมากพบว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ลดความดันโลหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง

          การเพิ่ม HDL กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาสามารถเพิ่มคอเลสเตอรอล HDL ที่เป็นไขมันที่ดี ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของการเกิดโรคหัวใจ

          ป้องกันการก่อตัวของคราบ Plaque มีการศึกษาพบว่าน้ำมันตับปลาลดความเสี่ยงของการเกิดคราบ Plaque ในหลอดเลือดแดง การสะสมของคราบจุ Plaque อาจทำให้หลอดเลือดแดงตีบตันและนำไปสู่อาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง

ช่วยให้อาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าดีขึ้นได้

          มีการศึกษาจำนวนมากพบว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาสามารถลดการอักเสบและลดอาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้

          นอกจากนี้ การศึกษาจำนวนมากยังพบความเชื่อมโยงระหว่างระดับวิตามินดีในเลือดที่เพิ่มขึ้นและการลดอาการซึมเศร้า อีกด้วย

ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

          แผลที่เป็นรอยแตกเล็ก ๆ ในเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้องส่วนบน และรู้สึกไม่สบาย มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การสูบบุหรี่ การใช้ยาต้านการอักเสบมากเกินไป หรือมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป

          มีการศึกษาระบุว่าน้ำมันนี้ช่วยรักษาแผลได้ โดยเฉพาะในกระเพาะและลำไส้ และพบว่าน้ำมันตับปลากด หรือยับยั้งยีน ที่เชื่อมโยงกับการอักเสบของลำไส้ ลดการอักเสบและแผลในลำไส้

แผลในเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลำไส้

น้ำมันตับปลา ช่วยรักษาแผลในเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้ได้

ปริมาณของน้ำมันตับปลาที่ร่างกายต้องการต่อวัน

          น้ำมันปลาธรรมดาสกัดจากเนื้อเยื่อของปลาที่มีน้ำมัน เช่น ปลาทูน่า ปลาเฮอริ่ง ปลาแอนโชวี่ และปลาแมคเคอเรล ในขณะที่น้ำมันตับปลา สกัดจากตับของปลาค็อด

          ตับอุดมไปด้วยวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ และ วิตามินดี ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการมากมาย

น้ำมันตับปลา 1 ช้อนชา (5 มิลลิลิตร) มีคุณสมบัติดังนี้

  • แคลอรี่: 40
  • ไขมัน: 4.5 กรัม
  • กรดไขมันโอเมก้า 3: 890 มิลลิกรัม
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว: 2.1 กรัม
  • ไขมันอิ่มตัว: 1 กรัม
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน: 1 กรัม
  • วิตามินเอ: 90% ของ RDI*
  • วิตามินดี: 113% ของ RDI*

*RDA หรือ Recommended Daily Intakes หมายถึง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

          น้ำมันตับปลามีคุณค่าทางโภชนาการอย่างมาก โดย 1 ช้อนชาให้วิตามินเอ 90% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันของคุณ และให้วิตามินดีถึง 113% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

          ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมันตับ มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบของเหลวและแคปซูล ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับการรับประทานน้ำมันตับปลา ดังนั้นคำแนะนำส่วนใหญ่จึงอ้างอิงจากระดับกรดไขมันโอเมก้า 3, วิตามินเอ และ วิตามินดี ที่ปลอดภัย

          ปริมาณทั่วไปที่แนะนำเป็น 1-2 ช้อนชา หรืออาจรับประทานมากถึง 1 ช้อนโต๊ะต่อวันก็ยังคงปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้รับประทานในปริมาณที่สูงขึ้น เนื่องจากจะทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินไป

          ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานน้ำมันตับปลา หากรับประทานยาลดความดันโลหิตหรือยาลดไขมันในเลือด นอกจากนี้ สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานเช่นกัน เนื่องจากวิตามินเอในระดับสูงอาจเป็นอันตรายต่อทารกได้

สัญญาณเตือนเมื่อร่างกายขาดน้ำมันตับปลา

          ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น น้ำมันชนิดนี้อุดมไปด้วยกรดไขมันที่ดี โอเมก้า 3 และวิตามินเอ วิตามินดี

          โอเมก้า 3 เป็นกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ภายในร่างกาย จัดเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้

          ผู้ที่ได้รับโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพได้ โดยอาจมีผิวหนังหยาบ สาก หรือมีลักษณะลอกเป็นเกล็ด รวมทั้งเกิดผื่นแดง บวม และทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้

          นอกจากนี้อาจเกิดปัญหาสุขภาพ ได้เช่นเดียวกับการขาดวิตามินเอ วิตามินดี

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยน้ำมันตับปลา

          เมื่อพิจารณาตามชื่อของน้ำมันตับปลา จะพบว่าน้ำมันชนิดนี้ทำมาจากตับของปลานั่นเอง โดยนิยมใช้ตับของปลาคอด ปลาค็อดแอตแลนติกและปลาค็อดแปซิฟิก

          โดยปลาได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากการรับประทานแพลงก์ตอน ซึ่งดูดซับสาหร่ายขนาดเล็ก และสาหร่ายขนาดเล็กนั้นเองที่เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3

เสริมน้ำมันตับปลา เลือกอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด

ความเสี่ยงของการใช้อาหารเสริมน้ำมันตับปลา

          คนส่วนใหญ่ที่รับประทานอาหารที่หลากหลาย สมดุลและดีต่อสุขภาพอาจไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเสริมชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมน้ำมันของตับปลา ไม่ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงใดๆ แต่อาจมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่

  • โอเมก้า 3 อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดและรบกวนยาที่มีที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน
  • บางครั้งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ซึ่งมักเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารเล็กๆน้อยๆ เช่น การเรอ อาหารไม่ย่อย หรือท้องร่วง
  • ผู้ที่แพ้ปลาหรือหอยอาจมีความเสี่ยงหากบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้
  • ที่สำคัญควรตรวจสอบว่าอาหารเสริมนี้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีสิ่งปนเปื้อน เป็นการควบคุมคุณภาพ และความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
  • น้ำมันตับปลา มีปริมาณของวิตามินเอสูง วิตามินนี้อาจเป็นพิษได้ถ้ารับประทานในปริมาณมากเกินไป

ข้อจำกัดสำหรับการเสริมน้ำมันตับปลา

ความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานน้ำมันตับปลา

          มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Cardiology เตือนว่าการบริโภคปลาในอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเนื่องจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในตัวปลา เช่น ปรอท (Mercury), โพลีคลอริเนต ไบฟีนิล (Polychlorinated biphenyls), ไดออกซิน (Dioxins), และสารปนเปื้อนอื่นๆ

          อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตราฐาน สามารถช่วยลดความเสี่ยงของสารพิษจากสิ่งแวดล้อม และภาวะวิตามินเอที่มากเกินไปได้

          การรับประทานวิตามินดีมากเกินไป อาจนำไปสู่อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ภาวะปัสสาวะมากกว่าปกติ และจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปสู่ระดับแคลเซียมในเลือดมากเกินไป ส่งผลให้เนื้อเยื่อและหลอดเลือดผิดปกติ และเกิดนิ่วในไตได้อีกด้วย

          โดยปริมาณวิตามินดีสูงสุดที่ยอมรับได้คือ 4,000 IU ต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป

น้ำมันตับปลา กับคำถามน่ารู้

น้ำมันตับปลา แตกต่างจากน้ำมันปลาอย่างไร

          น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา เป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ทั้ง 2 ชนิดมีความแตกต่างกัน คือมาจากแหล่งปลาต่างกัน และมีประโยชน์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน

          เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ ของน้ำมันทั้ง 2 ชนิดนี้ พบว่ามีปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูงเช่นเดียวกัน โดยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายและอาจช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด

          ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างกรดไขมันโอเมก้า 3 ขึ้นมาเองได้ นั่นคือเหตุผลเราอาจจำเป็นต้องได้รับการเสริมน้ำมันตับปลา รวมไปถึงน้ำมันปลา

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) เป็นน้ำมันที่สกัดจากตับของปลาคอดแอตแลนติก จะเห็นได้ว่าน้ำมันนี้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดี และเป็นหนึ่งในแหล่งที่ดีที่สุดของกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็น (essential fatty acid) ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น

น้ำมันตับปลามีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆระบบ เช่น ดวงตา หลอดเลือดและหัวใจ อารมณ์ เป็นต้น