หลายคนเลือกใช้ยาคุมชนิดเม็ดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ โดยถ้ารับประทานอย่างถูกต้อง การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้ผลถึง 99% แต่อย่างไรก็ตาม ยาเม็ดนี้ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่นโรคเอดส์ (HIV) โดยทั่วไปแล้วถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดีกว่า
โดยปกติแล้วจะเกิดการตั้งครรภ์ได้เมื่อไข่ของเพศหญิง ที่ถูกปล่อยออกมาจากรังไข่ได้รับการปฏิสนธิโดยสเปิร์มจากเพศชาย ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะยึดติดกับมดลูก ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตได้ดีก็จะพัฒนาเป็นทารกต่อไป ในร่างกายจะมีฮอร์โมนต่างๆมากมายช่วยควบคุมการสร้างและตกของไข่จากรังไข่ และเตรียมร่างกายให้พร้อมรับไข่ที่ปฏิสนธิแล้วนั่นเอง
สำหรับยาคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นชนิดยาเม็ด แผ่นแปะ หรือวงแหวนคุมกำเนิดที่ใส่ในช่องคลอด ล้วนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินในปริมาณเพียงพอที่ฮอร์โมนเหล่านี้จะไปยับยั้งฮอร์โมนตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ฮอร์โมนคุมกำเนิดมักจะมีกลไกในการป้องกันการตกไข่ เปลี่ยนแปลงลักษณะของมูกบริเวณปากมดลูกเพื่อให้ตัวอสุจิผ่านปากมดลูกและหาไข่ได้ยากมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์โดยการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุของมดลูกให้ไม่พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อนด้วย
สารบัญเนื้อหา
ปัจจุบันมียาคุมกำเนิดหลากหลายประเภท
การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด จัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ง่ายที่สุด แต่ในปัจจุบันก็จะเห็นได้ว่าในท้องตลาดมียาเม็ดคุมกำเนิดอยู่หลายหลายรูปแบบ โดยสามารถแบ่งเป็นประเภทหลักๆ ได้ ดังนี้
- The Minipill เป็นยาคุมชนิดที่มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ส่วนใหญ่ทำงานโดยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก ที่ทำให้สเปิร์มไม่สามารถไปถึงไข่ได้
- The Pill เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดแบบผสม ประกอบด้วยฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน กลไกการทำงานคือ พยายามป้องกันไม่ให้ไข่และสเปิร์มมาเจอกัน หรือหยุดการตกไข่
ยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนเดี่ยว
ยาคุมชนิดรับประทาน แบบฮอร์โมนเดี่ยว หรือที่เรียกว่า Minipils ยาเม็ดเหล่านี้มีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงชนิดเดียว ไม่มีเอสโตรเจน จึงช่วยลดผลข้างเคียงของฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เช่น อาการคลื่นไส้หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ของเอสโตรเจน
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน แบบฮอร์โมนเดี่ยว หรือ Minipills ทำงานโดยทำให้มูกปากมดลูกหนาขึ้นเพื่อให้สเปิร์มไม่สามารถไปถึงไข่ได้ นอกจากนี้ฮอร์โมนในยาเม็ดยังเปลี่ยนเยื่อบุโพรงมดลูกอีกด้วย ดังนั้นการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจึงมีโอกาสน้อยกว่ามาก
โดยหากใช้ยาคุมอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง จะมีประสิทธิภาพประมาณ 95% ซึ่งค่อนข้างมีประสิทธิภาพน้อยกว่ายาคุมกำเนิดแบบฮอรโมนรวม
ข้อดีฮอร์โมนเดี่ยว
- หากต้องการตั้งครรภ์สามารถหยุดยาคุมได้ง่ายๆ สะดวกกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ
- ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง การรับประทานยาคุมชนิดเม็ด แบบฮอร์โมนรวมอาจเพิ่มความเสี่ยงบางอย่าง เช่น ลิ่มเลือด ไมเกรน ความดันโลหิตสูง หรือเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- ลดความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ข้อเสียฮอร์โมนเดี่ยว
- ต้องรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน หากคุณข้ามยาหรือลืมกินยาเกิน 3 ชั่วโมง อาจจำเป็นต้องใช้รูปแบบการคุมกำเนิดสำรองอื่นๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 วัน
- ไม่มีสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ หรือ HIV ได้
- ผลข้างเคียง เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซีสต์ของรังไข่ ความต้องการทางเพศลดลง ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม มีสิว น้ำหนักขึ้น ซึมเศร้า และขนดก
- เพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อย หากตั้งครรภ์ไข่ที่ปฏิสนธิจะฝังนอกมดลูก หรือที่เรียกว่าการตั้งครรภ์นอกมดลูก
ยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนรวม หรือยาคุมแบบผสม
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือที่เรียกว่า Pills ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนรวมกันในเม็ดเดียว ช่วยป้องกันไม่ให้ไข่ตก ทำให้มูกในโพรงมดลูกเปลี่ยนแปลงไป สเปิร์มจึงไม่สามารถเข้าไปในมดลูกและไปถึงไข่ได้ หรือเข้าไปได้ยากขึ้น ทำให้เยื่อบุมดลูกบางลง จึงมีโอกาสน้อยที่ไข่ที่ปฏิสนธิจะฝังเข้าไปในมดลูกและเจริญเติบโตได้
ยาเม็ดคุมกำเนิด ชนิดเม็ดฮอร์โมนรวมมักมีประสิทธิภาพมากกว่า 99% หากใช้อย่างถูกต้อง มีหลากหลายยี่ห้อ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก
Monophasic 21-day pills
เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุด เป็นยาคุม 21 เม็ด แต่ละเม็ดมีฮอร์โมนในปริมาณเท่ากัน รับประทานวันละ 1 เม็ดเป็นเวลา 21 วัน และไม่ต้องรับประทานอีก 7 วัน ตัวอย่างยาเม็คุมกำเนิดชนิดนี้ได้แก่ ยาคุมยาส (ยาคุม Yaz), ยาคุมยาสมิน (ยาคุม Yasmin), ยาคุมไดแอน (ยาคุม Diane), ยาคุมแอนนา (ยาคุม Anna), ยาคุมเมอซิลอน (ยาคุม Mercilon), เมลลิแอน (Meliane), มาวีลอน (Marvelon), ไซเลส (Cilest), ไกเนร่า (Gynera)
Phasic 21-day pills
ยาเม็ด Phasic เป็นยาคุม 21 เม็ด ประกอบด้วยยาเม็ดสีต่างๆ 2 หรือ 3 ส่วนในแพ็ค แต่ละส่วนมีปริมาณฮอร์โมนที่แตกต่างกัน เพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกาย ในช่วงต้นรอบเดือนจะมีเอสโตรเจนสูงกว่าโปรเจสโตเจน ส่วนช่วงปลายรอบเดือนจะมีโปรเจสโตเจนมากกว่าเอสโตรเจน รับประทานวันละ 1 เม็ดเป็นเวลา 21 วัน และไม่รับประทานอีก 7 วันเช่น ออยเลซ (Oilezz), ไตรควีล่าร์ (Triquilar), ไตรนอร์ดิออล (Trinordiol), ไตรไซเลส (Tricilest)
ยาคุม 21 เม็ด ประกอบด้วยยาเม็ดที่มีฮอร์โมนทั้งหมด
Every day (ED) pills
เป็นยาคุม 28 เม็ด มียาเม็ดที่มีฮอร์โมนอยู่ 21 เม็ดและยาเม็ดที่เป็นยาหลอกหรือเม็ดแป้งอยู่ 7 เม็ดในแพ็ค เม็ดยาทั้งสองชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน รับประทานวันละหนึ่งเม็ดเป็นเวลา 28 วันโดยไม่มีการหยุดพักระหว่างซองยา ต้องกินยาทุกวันในลำดับที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ยาคุมไมโครไกนอน (Microgynon ED)
ข้อดียาคุมแบบผสม
- หากต้องการตั้งครรภ์สามารถหยุดยาคุมได้ง่ายๆ สะดวกกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ
- ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน หรือที่เรียกว่ากลุ่มอาการ PMS
- มีผลให้มีอาการปวดประจำเดือนน้อยกว่า
- ช่วยให้สิวดีขึ้น
- ลดอาการของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก และลำไส้ใหญ่
- อาจช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก
- การปรับปรุงการเจริญเติบโตของเส้นผมที่ไม่พึงประสงค์ หรือที่เรีกยว่าขนดก ที่เกิดจากกลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ
ข้อเสียยาคุมแบบผสม
- การลืมรับประทานยาหรือรับประทานช้า อาจลดประสิทธิภาพลงได้
- ไม่มีสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่นโรคเอดส์ หรือ HIV ได้
- เพิ่มความเสี่ยงของคอเลสเตอรอลสูง หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด โดยเฉพาะผู้สูบบุหรี่และสตรีที่มีอายุมากกว่า 35 ปี โดยความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดเชื่อมโยงกับยาเม็ดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนในปริมาณที่สูงขึ้น
- ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมสำหรับผู้หญิงที่กำลังใช้ยาคุมกำเนิดแบบผสมอยู่ แต่ความเสี่ยงนี้ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับปกติเมื่อคุณหยุดกินยา
- ผลข้างเคียง เช่น เลือดออกผิดปกติ ท้องอืด เจ็บเต้านม คลื่นไส้ ซึมเศร้า น้ำหนักขึ้น และปวดศีรษะ
เลือกชนิดยาคุมอย่างไรให้เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
ไม่แนะนำให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบผสมหรือฮอร์โมนรวม
- เพิ่งคลอดลูก
- มีอายุมากกว่า 35 ปีและสูบบุหรี่
- มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ไม่ดี
- มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดหรือมีประวัติของการอุดตันของหลอดเลือดดำส่วนลึกหรือเส้นเลือดอุดตันที่ปอด
- มีประวัติมะเร็งเต้านม
- มีประวัติโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ
- มีภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน
- มีโรคตับหรือถุงน้ำดี
- มีประวัติไมเกรน มีออร่า
- มีเลือดออกในโพรงมดลูกโดยไม่ทราบสาเหตุ
- จะถูกตรึงไว้เป็นเวลานานเนื่องจากการผ่าตัดใหญ่
ไม่แนะนำให้ใช้ ยาคุมแบบฮอร์โมนเดี่ยว
- เป็นมะเร็งเต้านม
- มีโรคตับบางชนิด
- มีเลือดออกในโพรงมดลูกโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ใช้ยากันชักหรือยาต้านวัณโรค
ผู้ที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม ไม่แนะนำให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
สามารถเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดได้อย่างไร
สำหรับยาคุมแบบ 21 เม็ด เนื่องจากทั้ง 21 เม็ดเป็นเม็ดยาคุมที่มีฮอร์โมน ดังนั้นให้เริ่มกินเม็ดแรกในวันแรก หรือไม่เกินวันที่ 5 ของการมีประจำเดือน จากนั้นให้กินเม็ดต่อ ๆ ไปในเวลาเดียวกันของทุกวันจนหมดแผง เมื่อทานหมดแผงให้เว้น 7 วัน แล้วค่อยเริ่มแผงใหม่
ยาคุมแบบ 28 เม็ด สามารถแบ่งเป็นเม็ดที่มีฮอร์โมน 21 เม็ด อีก 7 เม็ดที่เหลือจะไม่มีฮอร์โมนหรือเม็ดแป้ง ให้เริ่มกินเม็ดแรกในวันแรกหรือไม่เกินวันที่ 5 ของการมีประจำเดือน และกินต่อเนื่องทุกวันไปจนครบ 28 เม็ด โดยไม่ต้องเว้น 7 วัน เมื่อกินครบ 28 เม็ดก็สามารถเริ่มกินแผงใหม่ได้เลย
ทางที่ดีควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน คุณสามารถทานได้ทุกเวลาในระหว่างวัน แต่การทานก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอนจะช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น
เริ่มแพ็คยาใหม่ตามกำหนดเวลา ไม่ว่าคุณจะมีประจำเดือนหรือยังมีประจำเดือนอยู่หรือไม่
หากลืมกินยาคุมกำเนิด
ปัญหาการลืมกินยาคุมกำเนิด เป็นปัญหายอดฮิต การลืมกินยาส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วยาคุมกำเนิดสามารถแบ่งได้ คือ แบบ 21 เม็ด และ28 เม็ด ซึ่งก็มีวิธีการรับประทานที่แตกต่างกัน การลืมกินยาคุมกำเนิดมีได้หลายกรณี
ลืมกินเม็ดยาที่ไม่มีฮอร์โมน หรือเป็นเม็ดแป้ง ให้แกะเม็ดที่ลืมทิ้งไป และวันถัดไปให้กินเม็ดที่เหลือได้ตามปกติ
ลืมกินเม็ดยาที่มีฮอร์โมน 1 เม็ด ให้กินเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ นั่นคือในวันนั้น ต้องทานทั้งหมด 2 เม็ด
ลืมกินเม็ดยาที่มีฮอร์โมน 2 เม็ดขึ้นไป ให้กินเม็ดสุดท้ายที่ลืมทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ นั่นคือในวันนั้นจะกินยารวมเป็น 2 เม็ด ส่วนเม็ดก่อนหน้านั้นที่ลืมกินให้ทิ้งไป และให้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยจนกว่าจะกินยาฮอร์โมนครบ 7 วัน และควรดูว่า
- ถ้าเม็ดที่ลืมเป็น 7 เม็ดแรกของแผง หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน และให้เพศชายใช้ถุงยางอนามัยป้องกันเป็นเวลา 7 วัน
- ถ้าเม็ดที่ลืมเป็น 7 เม็ดสุดท้ายของแผง
กรณี 21 เม็ด เมื่อกินแผงนั้นหมดให้เริ่มแผงใหม่เป็นเม็ดฮอร์โมนทันที โดยไม่ต้องเว้น 7 เม็ด
กรณี 28 เม็ด ให้ทิ้งเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมนไปเลย และเริ่มกินยาคุมกำเนิดแผงใหม่ในวันถัดไป
มีผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดหรือไม่
ยาคุมกำเนิดมีผลข้างเคียง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ร้ายแรงก็ตาม ผลข้างเคียง ได้แก่
- คลื่นไส้
- เจ็บหรือบวมบริเวณเต้านม
- มีเลือดออกเล้กน้อย
- อารมณ์เปลี่ยนแปลง
- ปวดศีรษะเล็กน้อย
ปวดศีรษะ เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิด
ผู้ใดบ้างควรระวังการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด
ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัย ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปที่สูบบุหรี่ ถ้าคุณไม่สูบบุหรี่ คุณสามารถใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิดได้จนถึงวัยหมดประจำเดือน คุณไม่ควรกินฮอร์โมนคุมกำเนิดถ้าคุณมี
- ลิ่มเลือดที่แขน ขา หรือปอด
- โรคหัวใจหรือตับร้ายแรง
- มะเร็งเต้านมหรือมดลูก
- ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
- ไมเกรนมีออร่า
กลัวน้ำหนักขึ้นจากการใช้ยาคุม
การเพิ่มของน้ำหนักเป็นผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดหลายชนิด เช่นเดียวกับการเพิ่มขนาดเต้านม ในปี 2014 นักวิจัยตีพิมพ์การทบทวนการศึกษา 49 ชิ้น เพื่อหาสาเหตุเชื่อมโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักและประเภทของการใช้ยาคุมกำเนิดที่มีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน ผลการสึกษาพบว่ายาคุมเหล่านี้ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
หากผู้ที่เริ่มใช้ยาคุมกำเนิดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ร่างกายเก็บของเหลวไว้มากขึ้นกว่าปกติ
กินยาคุมอกใหญ่ขึ้นได้ จริงหรือไม่
ฮอร์โมนหลัก 2 ชนิดที่มีอยู่ในยาคุมกำเนิดส่วนใหญ่ ได้แก่ เอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศหญิง และ โปรเจสติน โปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงอีกชนิดหนึ่ง ร่างกายผลิตเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ในระหว่างรอบประจำเดือน ระดับจะผันผวน และอาจทำให้เนื้อเยื่อเต้านมเปลี่ยนแปลงได้ เอสโตรเจนยังเป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่หลักในการพัฒนาเต้านมในช่วงวัยแรกรุ่น
เมื่อคุณเริ่มใช้ยาคุมกำเนิด ระดับของฮอร์โมนเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ขนาดเต้านมเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ขนาดของเต้านมอาจกลับมาเป็นปกติหลังจากผ่านไปสักสองสามเดือนหรือหลังจากที่หยุดกินยา
เมื่อเริ่มใช้ยาคุมกำเนิด ระดับของฮอร์โมนจะเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ขนาดเต้านมเพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอาจทำให้ร่างกายกักเก็บของเหลวไว้ในร่างกายเพิ่มมากขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้หน้าอกรู้สึกตึง เมื่อการคั่งของน้ำหรืออาการบวมน้ำ ส่งผลต่อหน้าอกใหญ่ขึ้น
กินยาคุมลดสิว ได้ผลจริงหรือไม่ ยาคุมสำหรับคนเป็นสิวเลือกอย่างไร
สำหรับผู้หญิงที่เป็นสิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวรุนแรง อาจทำให้เกิดความวิตกกังวล เกี่ยวกับสิวและรอยแผลเป็น สำหรับการรักษาแพทย์ผิวหนังมีการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวในผู้หญิงมานานหลายทศวรรษ โดยทั่วไป การใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวมักแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีสุขภาพดี ซึ่งจำเป็นต้องคุมกำเนิดด้วย โดยทั่วไปจะเริ่มขึ้นหลังจากการรักษาสิวอื่นๆ เช่น ครีมทาเฉพาะที่และยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน
ผู้หญิงบางคนมีสิวขึ้นก่อนมีประจำเดือนเนื่องจากระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในระหว่างรอบเดือน
เนื่องจากฮอร์โมนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว ผู้หญิงบางคนมีสิวขึ้นก่อนมีประจำเดือนเนื่องจากระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในระหว่างรอบเดือน และสำหรับบางคน สิวยังคงอยู่ตลอดหลายปี แม้กระทั่งหลังวัยหมดประจำเดือน
สิวเกิดจากการผลิตไขมันส่วนเกิน ซีบัมเป็นน้ำมันที่สร้างโดยต่อมในผิวหนัง นอกจากเซลล์ผิวแล้ว ความมันยังสามารถอุดตันรูขุมขนและส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวได้ ฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นกลุ่มของฮอร์โมนที่มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน กระตุ้นผิวของคุณให้ผลิตซีบัมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย รังไข่และต่อมหมวกไตของผู้หญิงมักผลิตแอนโดรเจนในระดับต่ำ ระดับแอนโดรเจนที่สูงขึ้นสามารถนำไปสู่ความมันส่วนเกิน
การกินยาคุมกำเนิดที่มีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนช่วยลดปริมาณแอนโดรเจนในร่างกายของคุณ ส่งผลให้ความมันน้อยลงและสิวรุนแรงน้อยลง