ภูมิแพ้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Allergy เป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารหนึ่งๆ ที่อาจไม่เป็นสารที่อันตรายต่อคนทั่วไป แต่ทำให้เกิดการแพ้ได้ในบางคน ตัวอย่างเช่น ละอองเกสร เชื้อรา ขนสัตว์ น้ำยา อาหารหรือยาบางชนิด สารเหล่านี้เรียกว่าสารก่อการแพ้ โดยอาการแพ้มีตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น มีผื่นหรือลมพิษ มีอาการคัน น้ำมูกไหล น้ำตาไหล ตาแดง ไปจนถึงอาการที่อันตรายถึงชีวิต การรักษามีได้หลายรูปแบบ เช่นใช้ยาต้านฮีสตามีน ยาลดอาการคัดจมูก ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก ยารักษาโรคหอบหืด และการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน

          การแพ้เป็นปฏิกิริยาของร่างกายของคุณเองที่มีต่อสารหนึ่งๆ ที่ร่างกายมองว่าเป็นผู้บุกรุกที่เป็นอันตราย สารก่อภูมิแพ้เหล่านี้ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาต่างๆขึ้น ที่เรียกว่า ปฏิกิริยาการแพ้ หรือ Allergic reaction

สารบัญเนื้อหา

โรคภูมิแพ้จากปฏิกิริยาการแพ้คืออะไร

          ปฏิกิริยาภูมิแพ้ คือวิธีที่ร่างกายของคุณตอบสนองต่อสารก่อการแพ้ ซึ่งในแต่ละบุคคลก็อาจเกิดปฎิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นโรคแพ้ละอองเกสรดอกไม้  ในครั้งแรกที่คุณสัมผัสกับสารก่อภูมิการแพ้ที่เฉพาะเจาะจงของละอองเกสร ร่างกายของคุณจะตอบสนองโดยการผลิตแอนติบอดี้ ที่เรียกว่า IgE ออกมา งานของแอนติบอดีเหล่านี้คือการค้นหาสารก่อภูมิการแพ้และช่วยกำจัดสารนี้ออกจากระบบของคุณ เป็นผลให้มีการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่าฮีสตามีนและทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้ขึ้นได้การหลั่งของสารฮีสตามีน จะทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคืองและไม่สบายตัว

          อย่างไรก็ตามอาจมีปฏิกิริยาที่คล้ายกันอาจเกิดขึ้นกับเมื่อร่างกายเจอกับสารเคมีและวัตถุเจือปนอาหารบางชนิด อย่างไรก็ตาม หากไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน จะเรียกว่าอาการไม่พึงประสงค์ ไม่ใช่การแพ้

โรคภูมิแพ้เกิดจากสิ่งใดได้บ้าง

ละอองเกสร

          การตอบสนองต่อละอองเกสร หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ อาจทำให้เกิดภูมิแพ้ ที่เรียกว่า Hay Fever หรือ ไข้ละอองฟาง เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อละอองเกสรหรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น น้ำหอม เชื้อรา ขนสัตว์ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุดวงตา โดยอาจมีอาการต่างๆ ได้แก่ จาม คัดจมูก และคัน น้ำตาไหล

          อาการของคุณจะลดลงได้โดยการหลีกเลี่ยงละอองเกสรดอกไม้ อยู่ในที่ร่มเมื่อมีละอองเกสรเป็นจำนวนมาก

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ

มีหลายๆคนที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ เมื่อได้รับจะรู้สึกระคายเคือง และคันจมูก

ไรฝุ่น

          ตัวไรฝุ่นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในฝุ่นและในเส้นใยของสิ่งของในครัวเรือน เช่น หมอน ที่นอน พรม และเบาะ ไรฝุ่นเติบโตในบริเวณที่อบอุ่นและมีความชื้นสูง

          อาการของโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นคล้ายกับอาการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ เพื่อช่วยจัดการกับการแพ้ไรฝุ่น ให้ลองใช้พลาสติกกันฝุ่น/ฝาครอบโพลียูรีเทน ทับหมอน ที่นอน นอกจากนี้ ให้ถอดพรมหรือดูดฝุ่นบ่อยๆ ด้วยเครื่องกรองฝุ่นประสิทธิภาพสูง

เชื้อรา

          ราเป็นเชื้อราขนาดเล็ก มีสปอร์ที่ลอยอยู่ในอากาศเหมือนละอองเกสร เชื้อราเป็นตัวกระตุ้นทั่วไปสำหรับการแพ้ เชื้อราสามารถพบได้ในที่ร่มในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องใต้ดิน ห้องครัว หรือห้องน้ำ เช่นเดียวกับที่กลางแจ้งในหญ้า กองใบไม้ หญ้าแห้ง คลุมด้วยหญ้า หรือใต้เห็ด

ขนสัตว์ แพ้ขนแมว

          ปฏิกิริยาการแพ้อาจเกิดจากโปรตีนที่หลั่งออกมาจากต่อมเหงื่อในผิวหนังของสัตว์ หรือเกิดจากโปรตีนในน้ำลายของสัตว์ มาตรการที่จะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงภูมิแพ้ขนสัตว์ คือ ควรนำสัตว์เลี้ยงออกจากบ้านของคุณ หรืออย่างน้อยควรนำสัตว์เลี้ยงของคุณออกจากห้องนอน ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีการกรองแบบ HEPA

แพ้ ขนแมว

แพ้ขนแมว หลีกเลี่ยงได้โดยไม่ไปอยู่ใกล้สัตว์เลี้ยงที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้

น้ำยาต่างๆ

          บางคนมีอาการแพ้หลังจากสัมผัสกับสารเคมีในถุงมือยาง เช่น ถุงมือที่ใช้ในการผ่าตัดหรือทำความสะอาดบ้าน ภูมิแพ้ทำให้เกิดปฏิกิริยา เช่น ผื่นที่ผิวหนัง ลมพิษ น้ำตาไหลและก่อให้เกิดการระคายเคือง หายใจติดขัด

อาหารบางชนิด

          การแพ้อาหารเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณสร้างแอนติบอดีที่จำเพาะต่ออาหารบางชนิด อาการแพ้อาจจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีหลังจากรับประทานอาหาร และอาการต่างๆ อาจรุนแรงได้ ในผู้ใหญ่ ภูมิแพ้อาหารที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ หอย ถั่วลิสง และถั่วเปลือกแข็ง ในเด็ก ได้แก่ นม ไข่ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี หอย ถั่วลิสง และถั่วเปลือกแข็ง โดยหากคุณมีอาการแพ้อาหาร อาจทำให้เกิดอาการ ได้แก่ คัน ลมพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง หายใจลำบาก และอาการบวมรอบปาก

          การหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณมีอาการแพ้อาหาร แพทย์อาจสั่งจ่ายอะดรีนาลีน (Adrenaline) แบบฉีดให้คุณพกติดตัวตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งจำเป็นในกรณีที่คุณรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้โดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาแบบใหม่ที่เรียกว่าการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันอีกด้วย

พิษแมลง (จากการถูกกัดหรือต่อย)

          หากคุณถูกผึ้งต่อย อาการโดยปกติที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ ปวด บวม และแดงบริเวณที่ถูกต่อย โดยการบวมอาจจะขยายเกินบริเวณที่ต่อยออกไปได้มากน้อย แตกต่างกันในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาที่ร้ายแรงที่สุดจากการที่แมลงต่อยคือปฏิกิริยาแพ้ ซึ่งต้องไปพบแพทย์ทันที อาการของโรคภูมิแพ้ต่อแมลงต่อย ได้แก่

  • หายใจลำบาก
  • ลมพิษทั่วไปที่ขยายเป็นวงกว้าง ซึ่งปรากฏเป็นผื่นแดงและคันที่กระจายไปยังบริเวณอื่นที่ไม่ใช่บริเวณที่ถูกต่อย
  • อาการบวมของเนื้อเยื่อใบหน้า คอ หรือปาก
  • หายใจติดขัดมีเสียงหวีดหรือกลืนลำบาก
  • กระสับกระส่ายและวิตกกังวล
  • ชีพจรเต้นเร็ว
  • อาการวิงเวียนศีรษะหรือความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว

หากคุณมีปฏิกิริยาเช่นนี้ อาจทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

เมื่อเกิดภูมิแพ้ ส่วนใดของร่างกายที่เกิดผลกระทบได้บ้าง

          อาการแพ้มีอะไรบ้าง ภูมิแพ้ อาการเป็นอย่างไร โดยสามารถถูกจัดเป็นอาการระดับไม่รุนแรง ปานกลาง และรุนแรง

  • ปฏิกิริยาที่ไม่รุนแรง มักเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ เช่น ผื่นหรือลมพิษ อาการคัน ตาอักเสบแดง ไข้ละอองฟาง และน้ำมูกไหล โดยปฏิกิริยาที่ไม่รุนแรงจะไม่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  • ปฏิกิริยาปานกลางรวมถึงอาการที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการต่างๆ อาจรวมถึงอาการคัน ลมพิษ รวมถึงอาการบวมและหายใจลำบาก
  • อาการแพ้อย่างรุนแรงหรือที่เรียกว่าแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) เป็นภาวะฉุกเฉินที่คุกคามชีวิตได้ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายของคุณตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้อย่างกะทันหันและส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย การแพ้อาจเริ่มต้นด้วยอาการคันอย่างรุนแรงที่ดวงตาหรือใบหน้าของคุณ ภายในไม่กี่นาที จะมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น เกิดคอบวม ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหากับการกลืนและการหายใจ นอกจากนี้ยังมีอาการ ปวดท้อง เป็นตะคริว อาเจียน ท้องเสีย ลมพิษ และบวมทั้งตัว (Angioedema) คุณอาจมีความสับสนทางจิตใจหรือเวียนศีรษะ

          ผู้คนแต่ละคนมีการแพ้สารแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป และมีอาการแพ้ที่ต่างกันไปขึ้นอยู่กับสารก่อการแพ้ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยปฏิกิริยาโรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายส่วนของร่างกายในเวลาเดียวกัน ดังเช่น

บริเวณจมูก ตา ไซนัส และลำคอ

          เมื่อคุณสูดดมสารก่อภูมิแพ้เข้าไป ร่างกายจะมีการปล่อยฮีสตามีน ทำให้เยื่อบุจมูกสร้างเมือกมากขึ้น เกิดการบวมและอักเสบ ทำให้น้ำมูกไหล คัน และอาจจามรุนแรงได้ และดวงตาอาจเกิดการระคายเคือง มีน้ำตาไหล

อาการแพ้

อาการแพ้ที่พบได้บ่อย เช่น น้ำมูกไหล คัน จาม และดวงตาอาจเกิดการระคายเคือง มีน้ำตาไหล

ปอดและหน้าอก

          โรคหืดหอดสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างเกิดอาการแพ้ เมื่อใดที่หายใจเอาสารก่อการแพ้เข้าไป เยื่อบุทางเดินในปอดจะพองตัวและทำให้หายใจลำบากมากยิ่งขึ้น

กระเพาะและลำไส้

          อาหารที่มักก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ ถั่วลิสง อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม และไข่ การแพ้นมวัวในทารกอาจเกิดขึ้นและอาจทำให้เกิดผื่นผิวหนัง หอบหืด อาการจุกเสียด และปวดท้องได้

          อย่างไรก็ตามในบางคนที่ไม่สามารถย่อยแลคโตส ที่เป็นน้ำตาลที่อยู่ในนมวัวได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสียได้ สิ่งนี่ไม่ใช้ภูมิแพ้

ผิวหนัง

          ปัญหาผิวที่เกิดจากการแพ้ ได้แก่ ผดผื่น และลมพิษ

ภูมิแพ้ผิวหนัง

อาการแพ้อาจทำให้เกิดเป็นผดผื่น ลมพิษที่ผิวหนังได้

อาการภูมิแพ้ที่คุกคามถึงชีวิต ต้องได้รับการรักษาทันที

          อาการแพ้ส่วนใหญ่มีอาการน้อยถึงระดับปานกลาง และไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ อย่างไรก็ตาม อาจมีคนจำนวนไม่มากนักที่อาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เรียกว่า แอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) ซึ่งต้องใช้ยาช่วยชีวิตทันที สารก่อภูมิแพ้ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ ได้แก่ อาหาร สารเคมีจากแมลง และยา เป็นต้น

โรคภูมิแพ้วินิจฉัยได้อย่างไร

          หากคุณคิดว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ อย่ารอเพื่อดูว่าอาการของคุณหายไปหรือไม่ เมื่ออาการของคุณคงอยู่นานกว่า 1 หรือ 2 สัปดาห์และมีแนวโน้มว่าจะกลับมาอีก ให้นัดหมายกับแพทย์เข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพ้หรือภูมิคุ้มกันวิทยา เพื่อทำการรักษา และทดสอบการแพ้ทางผิวหนัง ที่อาจใช้เพื่อระบุสารก่อการแพ้ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ของคุณได้ โดยการทดสอบทำได้โดยการทิ่มผิวหนังของคุณด้วยสารสกัดจากสารก่อการแพ้แต่ละชนิด จากนั้นตรวจสอบปฏิกิริยาของผิวหนังที่เกิดขึ้นนั้นเอง

          อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถทำการทดสอบผิวหนังได้ อาจได้รับการตรวจเลือด การทดสอบจะประเมินจำนวนแอนติบอดีที่ผลิตโดยระบบภูมิคุ้มกันของคุณ ระดับที่สูงขึ้นของแอนติบอดีบางตัวบ่งบอกถึงการแพ้ต่อสารก่อการแพ้นั้น

วิธีการการทดสอบภูมิแพ้

          การทดสอบการแพ้ เพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ เช่น เชื้อรา ขนของสัตว์เลี้ยง เหล็กในผึ้ง และถั่วลิสง ที่สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ในระหว่างการทดสอบการแพ้ทางผิวหนัง แพทย์จะให้สารก่อภูมิที่ทำให้เกิดการแพ้ และตรวจสอบผื่นหรือปฏิกิริยาอื่น ๆ บนผิวหนัง รวมถึงการตรวจเลือดสามารถตรวจหาแอนติบอดี IgE ได้ ผลลัพธ์สามารถช่วยคุณจัดการอาการแพ้ต่างๆ ได้

เมื่อไหร่ที่คุณจำเป็นต้องตรวจสอบการแพ้

          เมื่อคุณมีอาการแพ้ที่ค่อนข้างรุนแรง การทดสอบสารก่อภูมิแพ้นับเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงสารต่างๆเหล่านี้ในชีวิตประจำวันได้ อาการที่อาจบ่งบอกว่าคุณเกิดการแพ้อยู่ ได้แก่

  • ปวดศรีษะ
  • มีอาการคันตา น้ำตาไหล
  • คัดจมูก จาม หรือน้ำมูกไหล
  • หายใจถี่ หายใจลำบากมีเสียงหวีด หรือไอเรื้อรัง
  • เจ็บคอ

          อาการแพ้อาหาร มักเกิดขึ้นภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหาร แต่อาจเกิดขึ้นภายใน 2 ชั่วโมงหลังการรับประทานได้ ผู้ที่แพ้อาหารอาจพบ

  • อาการทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ บวมที่ใบหน้า ริมฝีปากหรือลิ้น คันทั่วๆ ไป
  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ หายใจมีเสียงหวีด หายใจลำบาก แน่นหน้าอกหรือคอ
  • อาการทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตะคริว อาเจียนและท้องเสีย
  • อาการทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น ผิวซีด ชีพจรเต้นช้า เวียนศีรษะ หรือหน้ามืด

          ผู้ที่แพ้น้ำยา สารเคมี น้ำหอม หรือโลหะ เช่น นิกเกิล อาจเกิดโรคผิวหนังอักเสบได้ อาการแพ้ที่พบนี้ได้แก่

  • รู้สึกแสบร้อนที่ผิวหนังหรือมีตุ่มพองบนผิวหนัง
  • ลมพิษและมีอาการบวม
  • ผื่นที่ผิวหนังหรือผิวหนังคัน
ผื่นแพ้

ผื่นลมพิษ ที่ขึ้นตามผิวหนัง มีอาการคัน

การทดสอบการแพ้ทำอย่างไร

          การทดสอบการแพ้จะวัดการตอบสนองของร่างกายคุณต่อสิ่งกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ที่เฉพาะเจาะจง หากคุณมีอาการแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะตอบสนองมากเกินไป ผลิตแอนติบอดี ที่เรียกว่าอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) แอนติบอดีเหล่านี้กระตุ้นการปล่อยสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการแพ้

การทดสอบภูมิแพ้มีกี่ประเภท

          มีหลายวิธีในการทดสอบอาการแพ้ โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่ดีที่สุดตามอาการของคุณและสารก่อภูมิแพ้ที่น่าสงสัย

การทดสอบการขีดข่วน (Skin prick or scratch test)

          แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กแทงผิวหนังบริเวณปลายแขนหรือด้านหลังด้วยสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ 10 ถึง 50 ชนิด หรืออาจหยดสารก่อการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นบนผิวหนังของคุณ และใช้อุปกรณ์ขูดและเจาะบริเวณนั้นเบาๆ ทำให้ของเหลวเข้าสู่ผิวหนังของคุณ ปฏิกิริยาการแพ้ เช่นรอยแดงมักเกิดขึ้นภายใน 15 นาทีหลังจากได้รับสัมผัส ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นอาจเป็นผื่นหรือตุ่มนูนขึ้น การทดสอบนี้จะใช้เพื่อตรวจหาการแพ้อากาศ การแพ้อาหาร และการแพ้ยาเพนนิซิลลิน

การทดสอบทางผิวหนัง (Intradermal skin test)

          คุณอาจได้รับการทดสอบทางผิวหนัง หากผลการทดสอบการทิ่มผิวหนังเป็นลบหรือไม่สามารถสรุปได้ โดยแพทย์จะฉีดสารก่อภูมิแพ้จำนวนเล็กน้อยเข้าไปในชั้นนอกของผิวหนัง หรือที่หนังกำพร้า การทดสอบนี้จะใช้เพื่อตรวจหาการแพ้สารระคายเคืองในอากาศ ยา และแมลงต่อย

ตรวจเลือด ภูมิแพ้

Intradermal skin test

การทดสอบแพทช์ (Patch test)

          การทดสอบนี้ใช้กำหนดสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบเรื่อรัง แพทย์จะหยดสารก่อการแพ้ลงบนผิวหนังที่แขนของคุณและปิดผ้าพันแผลไว้ หรืออาจใช้แผ่นแปะที่มีสารก่อภูมิแพ้อยู่ คุณต้องปิดผ้าพันแผลทิ้งไว้และกลับไปพบแพทย์อีกครั้งภายใน 48 ถึง 96 ชั่วโมง จากนั้นแพทย์จะถอดผ้าพันแผลออก เพื่อตรวจหาผื่นหรือปฏิกิริยาอื่นๆ ที่ผิวหนังของคุณ

การทดสอบเลือดตรวจสารอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) (Blood (IgE) test)

          แพทย์จะส่งตัวอย่างเลือดของคุณไปที่ห้องปฏิบัติการ ห้องปฏิบัติการจะเพิ่มสารก่อการแพ้ลงในตัวอย่างเลือดและวัดระดับของแอนติบอดี IgE ในตัวอย่างเลือด

การทดสอบที่ท้าทาย (Challenge tests)

          การทดสอบนี้เกิดขึ้นภายใต้การดูแลโดยตรงของแพทย์โดยตรงเท่านั้น ผู้ที่สงสัยว่าแพ้อาหารหรือยา แพทย์จะให้รับประทาน สารก่อภูมิแพ้จำนวนเล็กน้อย การทดสอบลักษณะนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยหากคุณเกิดอาการแพ้ แพทย์จะฉีดยาอะดรีนาลีนให้ทันทีเพื่อหยุดปฏิกิริยาการแพ้ที่เกิดขึ้น

ควรเตรียมตัวอย่างไรสำหรับการทดสอบภูมิแพ้ และสิ่งที่คุณควรทราบ

          แพทย์จะให้คุณหยุดรับประทานยารักษาโรคภูมิแพ้ เช่น ยาแก้แพ้ ก่อนการทดสอบการแพ้เป็นเวลา 3-7 วัน เนื่องจากยาเหล่านี้อาจรบกวนผลการทดสอบ โดยหยุดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อการแพ้ นั่นเอง

          โดยจุดประสงค์ของการทดสอบผิวหนังคือเพื่อดูว่าร่างกายของคุณตอบสนองต่อสารก่อการแพ้อย่างไร หากคุณมีอาการแพ้ คุณจะเกิดปฏิกิริยาที่บริเวณที่ทำการทดสอบ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแพ้เล็กน้อย เช่น คันผิวหนัง น้ำตาไหล อาการส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังการทดสอบ แต่อาจยังคงมีรอยแดงหรือเป็นก้อนได้อีกหลายชั่วโมง

          อย่างไรก็ตาม โอกาสในการเกิดปฏิกิริยาแอนาฟิแล็กติก หรือการแพ้ที่รุนแรงถึงชีวิต คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด แพทย์มักตรียมพร้อมด้วยอะดรีนาลีน โดยจะให้การดูแลแบบฉุกเฉินหากคุณมีปฏิกิริยารุนแรงระหว่างการทดสอบการแพ้

          เมื่อคุณทราบผลการทดสอบ ถ้าคุณมีการแพ้ต่อสารใดสารหนึ่ง สิ่งที่ควรทำ ได้แก่

  • ลดการสัมผัสสารก่อการแพ้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง
  • ทานยารักษาแก้แพ้ทุกวัน ยาแก้แพ้สามารถป้องกันหรือลดอาการจมูกอักเสบจากการแพ้และอาการอื่นๆ ได้
  • การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน สามารถลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อการแพ้บางชนิด เช่น ขนสัตว์เลี้ยง โดยคุณควรรับช็อตรักษาการแพ้เป็นเวลา 3-5 ปีเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ช็อตแก้แพ้อาจมีค่าใช้จ่ายสูง แต่มักจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ได้ยาวนาน
  • พกบัตรแจ้งเตือนทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้อื่นทราบเกี่ยวกับอาการแพ้อย่างรุนแรงของคุณ
  • พกยาฉีดอะดรีนาลีน เก็บยานี้ติดตัวไว้ตลอดเวลาหากคุณมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้แบบอะนาไฟแล็กติก

มีตัวเลือกในการป้องกันและการรักษาภูมิแพ้ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่

          การหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการได้รับสารก่อภูมิแพ้ หรือ ใช้ยาที่ใช้รักษาอาการแพ้ ได้แก่

ยาต้านฮีสตามีน จะบล็อกการหลั่งฮีสตามีนจากเซลล์แมสต์ ลดอาการแพ้

ยาพ่นจมูกคอร์ติโอโคสเตียรอยด์ มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากการแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงเมื่อใช้อย่างถูกต้อง

ยาหยอดตา อาจมีประโยชน์ในบางกรณี เช่นอาการแพ้ที่มีอาการตาบวม น้ำตาไหล เคืองตา

ยาอะดรีนาลีน ใช้สำหรับการปฐมพยาบาลในกรณีฉุกเฉินของปฏิกิริยาการแพ้ที่รุนแรงถึงชีวิต (Anaphylaxis) อะดรีนาลีนมักจะได้รับโดยใช้เครื่องฉีดอะดรีนาลีนอัตโนมัติที่สามารถให้ได้โดยไม่ต้องได้รับการฝึกอบรมทางการแพทย์

นอกจากนี้ยังมีการรักษาที่ไม่ใช้ยา เช่น

สเปรย์น้ำเกลือ ใช้สำหรับรักษาโรคจมูกอักเสบจากแพ้ อากาศ และไซนัสอักเสบ

น้ำเกลือ

น้ำเกลือใช้สำหรับล้างจมูก

ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการรักษาระยะยาวซึ่งจะเปลี่ยนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิที่ทำให้แพ้